วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ออกกำลังกาย แบบได้ผลที่สุด

5 วันต่อสัปดาห์เป็นการออกกำลังกายที่ได้ผล เรื่องนี้ยืนยันจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งบอกไว้ว่าคนเราควรทำครั้งละ 30 นาที เป็นประจำ 5 วันต่อสัปดาห์ กิจกรรมต่างๆ ที่คนเราส่วนใหญ่มักจะนิยมก็ได้แก่








เต้นแอโรบิก 30 นาที พลังงานที่ใช้ 170 แคลอรี



การเดินช้อปปิ้ง 30 นาที พลังงานที่ใช้ 100 แคลอรี



การวิ่งเหยาะๆ 30 นาที พลังงานที่ใช้ 325 แคลอรี



การทำความสะอาดบ้าน 30 นาที พลังงานที่ใช้ 135 แคลอรี



การทำสวน 30 นาที พลังงานที่ใช้จะเท่ากับ 160 แคลอรี







แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณนั้นออกแรงกับการทำกิจกรรมแต่ละอย่างมากน้อยแค่ไหนด้วย ถ้าอยากมีสุขภาพดีให้จำไว้แบบง่ายๆ ว่าแค่ขยับก็เท่ากับออกกำลังกายแล้ว ดังนั้น อย่านั่งนิ่งๆ ลุกขึ้นมาขยับร่างกายบริหารตัวเองกันดีกว่า




ที่มาจาก http://www.247freemag.com/

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิธีกำจัดกลิ่นเท้า

สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องกลิ่นเท้าเหม็น
วันนี้เรามีวิธีการกำจัดกลิ่นเท้ามาฝาก



เริ่มจากหลังอาบน้ำเสร็จทุกครั้งให้โรยแป้งฝุ่นให้ทั่วเท้า เพื่อไม่ให้เท้าอับชื้น จากนั้นนำถุงน้ำชาที่ชงแล้วสักปราณ 4-5 ถุงมาแช่ในอ่างน้ำอุ่น แช่เท้าลงไปในน้ำอุ่นประมาณ 5-10 นาที เนื่องจากถุงชาช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เกิดจากการหมักหมมในรองเท้า แนะว่าควรทำอาทิตย์ละ 2 ครั้ง/สัปดาห์




เพียงเท่านี้ เท้าของคุณก็จะไม่มีกลิ่นมากวนใจ.


http://lifestyle.th.msn.com/health/tips/article.aspx?cp-documentid=4183640

เกรปฟรุต-สับปะรด เสริมภูมิคุ้มกัน

หากอยากมีร่างกายที่แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันต้านเชื้อโรคจะได้ไม่เจ็บป่วยง่าย ลองดูเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง โดยอาศัยสารอาหารที่มีประโยชน์จากเกรปฟรุต และสับปะรด


หากอยากมีร่างกายที่แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันต้านเชื้อโรคจะได้ไม่เจ็บป่วยง่าย มุมสุขภาพ-กินดี เตรียมเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง โดยอาศัยสารอาหารที่มีประโยชน์จากเกรปฟรุต และสับปะรด




เกรปฟรุต อุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินซี กรดซิตริก และไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีประโยชน์กับตับ ดีต่อภูมิคุ้มกันของร่างกาย สามารถชะล้างสารพิษและทำความสะอาดร่างกาย ทั้งยังช่วยละลายเมือกและของเสียจากระบบภายในร่างกายทั้งหมด ปรับค่าพีเอชของเลือดและของเหลวในร่างกายให้มีความเป็นด่าง



นอกจากนี้เกรปฟรุตยังมีกรดซาลิไซลิก ช่วยละลายแคลเซียมที่ตกผลึกและอยู่ตามข้อต่อ บรรเทาโรคข้อต่ออักเสบได้



สำหรับ สับปะรด เปี่ยมด้วยวิตามินซี กรดโฟลิก โพแทสเซียม โซเดียม และแมกนีซียม โดยรวมแล้วสับปะรดสามารถต้านอาการอักเสบและช่วยย่อยโปรตีนได้ดี แถมยังมีเอนไซม์โบรเมลิน ที่ช่วยรักษาค่าพีเอชของร่างกายให้สมดุล



ส่วนผสมของเครื่องดื่มมีให้เตรียมดังต่อไปนี้...



เกรปฟรุต 2 ถ้วย

สับปะรด 1 ถ้วย

น้ำแร่ 1 ถ้วย

น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย



ขั้นตอนในการผสมเครื่องดื่ม เริ่มด้วยการนำเกรปฟรุต (จะปอกเปลือกหรือไม่ก็ได้ แต่ส่วนแกนและเมล็ดไม่ควรทิ้ง) และสับปะรดหั่นเป็นชิ้นขนาดกลาง จากนั้นนำไปสกัดเอาแต่น้ำด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เติมน้ำแร่ลงไปเล็กน้อย คนส่วนผสมให้เข้ากัน เติมน้ำแข็งป่นเพื่อความเย็นสดชื่น พร้อมดื่มได้ทันที.

 
http://lifestyle.th.msn.com/health/eatingwell/article.aspx?cp-documentid=4191157

ประโยชน์จากโยเกิร์ต

โยเกิร์ตเป็นอาหารที่อร่อย แถมยังมีประโยชน์มากมาย

 วันนี้เรามีเรื่องนี้มาฝาก


เวลาท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย




โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ



โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5



โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตสามารถทำได้ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้



จุลินทรีย์ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ร่างกายต้องการ เพราะจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร" ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ



แคลเซียมสูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้ผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย



ทำให้ปากสะอาด กำจัดกลิ่นปากและโรคเหงือก



เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น



รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำกันดีกว่า เพื่อร่างกายที่แข็งแรง.





ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
http://lifestyle.th.msn.com/health/eatingwell/article.aspx?cp-documentid=4198868

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

7 วิธีหนีความอ้วน

แกสบี้สัตว์เลี้ยงในดวงใจ

ตอน ที่มาของแกสบี้

  • แกสบี้เป็นสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กที่เข้ามาในเมืองไทยได้ประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา โดยในต่างประเทศแกสบี้ถูกมนุษย์นำมาเลี้ยงสวยงามตั้งแต่ปี 1500 โดยชาวดัชต์ คือเมื่อ 500 ปี่ที่ผ่านมา ต่อมาในปี 1770 เจ้าหนูแกสบี้ก็เป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาโดยเป็นสัตว์เลี้ยงแฟนซีที่ได้รับความนิยมมาก และยังได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบัน


  • สาเหตุที่แกสบี้เป็นสัตว์เลี้ยงที่ครองใจผู้เลี้ยงได้อย่างมากคือความที่แกสบี้มีขนาดพอเหมาะสำหรับคนเลี้ยงทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กอายุ 5 ขวบไปจนถึงผู้ใหญ่ มีน้ำหนักเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 1-1.5 กิโลกรัม ซึ่งทำให้ง่ายในการดูแลและนำไปด้วยได้ง่าย ตลอดจนแกสบี้เป็นสัตว์เลี้ยงที่เชื่องคุ้นเคยกับเจ้าของได้ง่าย มีความสุภาพไม่กัดเจ้าของเหมือนสัตว์เลี้ยงอื่นๆ เช่นแฮมสเตอร์หรือเฟอร์เรท ไม่ปีนป่ายกระโดดหรือกัดแทะข้าวของเครื่องใช้ให้ได้รับความเสียหายทำให้เราสามารถ จัดหาที่อยู่ให้กับแกสบี้ได้ง่ายราคาไม่สูงเหมือนสัตว์ประเภทอื่นๆซึ่งถ้าจะประเมินความน่าเลี้ยงของแกสบี้แล้ว ความน่าเลี้ยงจะจัดอยู่ในเกณฑ์ A+ ทีเดียว ผู้ใดได้เลี้ยงแล้วจะหลงใหลในความน่ารักของมันมาก จนไม่อยากเปลี่ยนไปเลี้ยงสัตว์อื่นๆ อีกเลย
  • แกสบี้มีชื่อเรียกกันทั่วโลกว่ากินนี่พิก (Guinea Pig) ถ้าท่านใดเล่น Internet สามารถ Search หาคำว่า Guinea pig และหาข้อมูลต่างๆ ได้อย่างไม่จำกัด คำว่า Guinea pig ถ้าเปิดใน Dictionary จะแปลว่าหนูตะเภา ซึ่งจริงๆแล้วแกสบี้คือหนูในตระกูลเดียวกับหนูตะเภา แต่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์มานับร้อยๆปี ในต่างประเทศ (ในประเทศไทยไม่มีการพัฒนาสายพันธุ์หนูตะเภา) ทำให้แกสบี้มีความสวยงามแตกต่างไปจากหนูตะเภาโดยสิ้นเชิง ดังนั้นในช่วงที่แกสบี้ในเมืองไทยบูมมากๆ มีผู้เพาะเลี้ยงที่ไม่มีจรรยาบรรณนำหนูแกสบี้มีผสมกับหนูตะเภาออกมาขายหลอกผู้เลี้ยงทำให้ผู้เลี้ยงบางคนเข้าใจผิดไปว่าหนูที่เห็นเป็นแกสบี้สายพันธุ์แท้ปัจจุบันยังมีแกสบี้พันธุ์ผสมกับหนูตะเภาออกขายอยู่ในท้องตลาด โดยมีการพัฒนาให้มีสายเลือดของแกสบี้พันธุ์แท้ 75% หนูตะเภา 25% ซึ่งตอนที่ยังเล็กๆอยู่ผู้ที่ไม่ชำนาญจะดูได้ยาก โดยจะขายอยู่ในระดับราคา 300 บาทถึงหนึ่งพันบาทต้นๆ พวกหนูพันธุ์ผสมเมื่อโตขึ้นจะแสดงลักษณะที่ไม่ดีออกมาเรื่อยๆ ถ้าหลงเชื่อซื้อไปสัตว์เลี้ยงที่ท่านได้รับก็คือหนูตะเภา มูลค่า 500 บาทในอนาคต ส่วนราคาลูกหนูพันธุ์แท้จะมีราคาอยู่ราย 1,500 บาทขึ้นไปถึง 4,000 บาท



  • สำหรับชื่อเรียกของแกสบี้คือ Guinea Pigs ในต่างประเทศก็มักมีชื่อเรียกในแต่ละประเทศ โดยในประเทศไทยชื่อที่เป็นที่ยอมรับคือ “แกสบี้” ไม่ว่าวงการสัตว์เลี้ยง สัตวแพทย์ สื่อสารมวลชน ถ้าบอกว่าแกสบี้ก็จะเป็นที่เข้าใจตรงกัน สำหรับประเทศต่างๆ มีชื่อเรียกดังนี้ ประเทศญี่ปุ่น เรียกว่า “Moru-Motto” ประเทศสวีเดน เรียกว่า “Marsvin” ประเทศฟิลิปปินส์ เรียกว่า “Costa” เป็นต้น เช่นเดียวกับชื่อว่า “แกสบี้” ในประเทศไทยก็จัดว่าเป็น “Local Name” ที่เข้าใจตรงกันทุกวงการ สำหรับในปี 2000 แกสบี้ในประเทศไทยยังคงเดินหน้าเป็นสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กที่ยังหาคู่แข่งได้ยากมาก และนับวันจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ในอังกฤษและอเมริกามีการจัดตั้งชมรมผู้รักแกสบี้มากมาย มีการประกวดแข่งขันกันทุกสัปดาห์ ทำให้เกิดธุรกิจต่อเนื่อง เช่น อาหาร อุปกรณ์การเลี้ยง หนังสือ และของที่ระลึกเกี่ยวกับสัตว์ตัวนี้มากมาย

แกสบี้สัตว์เลี้ยงในดวงใจ

ตอน ประวัติและข้อมูลทั่วไป

สัตว์เลี้ยงที่นิยมมากที่สุดในอเมริกาเหนือ คือ หนูแกสบี้ ฝรั่งเค้าเรียกกันว่า


กินนี่พิก ( Guinea Pig ) จะเรียกว่าเควี่ก็ได้ค่ะ


           เห็นเค้าสะกดคำว่า Guinea Pig อย่างนี้ อย่าคิดว่ากินนี่พิกหรือหนูแกสบี้คือหมูนะ และเค้าก็ไม่ได้มีต้นกำเนิดจากแถว Guinea ด้วย แต่เค้ามีต้นกำเนิดมาจากแถบเทือกเขา Andes ในอเมริกาใต้ค่ะ ในศตวรรษที่ 16 เมื่อทวีปอเมริกา ถูกค้นพบโดย อังกฤษ และ ฮอลแลนด์ เค้าก็เริ่มซื้อขาย เจ้าหนูแกสบี้ กลับไปยังยุโรป เพื่อให้เป็นสัตว์เลี้ยงค่ะ


           ตามธรรมชาติแล้ว จะอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เป็นทุ่งหญ้า และจะหาที่กำบังตามธรรมชาติ หรือโพรงที่สัตว์อื่นทิ้งไว้ ( บางตำรา บอกว่า ที่เค้าเรียกหนูแกสบี้ว่า เควี่ ( Cavy ) มาจากเหตุนี้แหละ เพราะ Cavy มาจาก Cave แปลว่าถ้ำ )หนูแกสบี้ เป็นสัตว์สังคมที่มักอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม เค้าจะเที่ยวหาอาหารในเวลาบ่าย และก่อนตกเย็น



ข้อมูล

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Cavia porcellus

อายุขัยทั่วไป 3-4 ปี

อายุขัยที่สูงสุด 6-7 ปี

อุณหภูมิที่เหมาะสม 17-24 เซลเซียส

อายุเริ่มผสมพันธุ์ เพศผู้ 3-4 เดือน

เพศเมีย 3-7 เดือน

วงจรผสม 16 วัน

ระยะตั้งท้อง 63-68 วัน

จำนวนลูก 1-6

หย่านมเมื่อ 2-3 สัปดาห์



คำเตือน


1. หนูแกสบี้จะแพ้ยา ประเภท Antibiotics ไม่ว่าจะให้โดยการป้อนหรือฉีด รวมทั้ง ampicillin, penicillin, bacitracin, erythromycin, lincomycin, gentamicin, clindamycin, streptomycin, vancomycin และ tetracycline บางตัว ในกรณีที่หนูแกสบี้ได้รับยาประเภท Antibiotic บางตัวที่สัตวแพทย์จ่ายให้ ผู้เลี้ยงอาจต้องป้อน โยเกิร์ตให้เค้าด้วย เพื่อให้ร่างกายเค้ามี แบคทีเรีย ที่ใช้ในการย่อย เพราะยาประเภทนี้ จะไปทำลาย แบคที่เรียที่จำเป็นสำหรับเค้า



2. หนูแกสบี้ไม่สามารถสังเคราะห์ วิตามินซี เองได้ ต้องได้รับจากอาหาร ถ้าขาดข้อต่อและซี่โครงจะพองปวด เคลื่อนไหวลำบาก มีผลต่อการพัฒนา ของกระดูก และฟัน และตายได้ในที่สุด